วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประวัติความเป็นมาของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

          จากประวัติความเป็นมาของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยที่ได้มีผู้ศึกษาค้นคว้า รวบรวมไว้ดังปรากฏในหนังสือและเอกสารต่าง ๆ โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระดำรง ราชานุภาพ ได้ทรงเป็นผู้ริเริ่มและทรงนิพนธ์หนังสือ ตำนานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สยาม ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ใช้เป็นหลักในการศึกษาจวบจนถึงปัจจุบันจึงพอจะพิจารณาได้ว่า มีการแบ่งยุคสมัยของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยตามลักษณะและวิธีการประดับเป็นประโยชน์ในการศึกษาและทำให้ง่ายต่อการเข้าใจวิวัฒนาการของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยได้เป็นอย่างดี ในที่นี้จึงขอใช้แนวทางเดี่ยวกันและเพิ่มหลักพิจารณาตามประวัติการปรับปรุงแก้ไขในตัวบทกฎหมายครั้งสำคัญประกอบกันไปอีกประการหนึ่งโดยแบ่งยุคสมัยของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยออกเป็น 3 สมัย คือ


1. สมัยก่อน พ.ศ. 2400
2. สมัยหลัง พ.ศ. 2400 - พ.ศ. 2484
3. สมัยหลัง พ.ศ. 2484 ถึงปัจจุบัน


เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยสมัยก่อน พ.ศ. 2400
           นับเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ประเทศไทยด้มีเครื่องหมายแสดงเกียรติยศและบำเหน็จความชอบเรียกกันว่า เครื่องยศ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นสำหรับพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ เจ้านาย ขุนนาง ที่ไว้วางพระราชหฤทัยให้ปฏิบัติพระราชภารกิจต่างพระเนตรพระกรรณ เมื่อได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใดหรือเมื่อกระทำความดีความชอบในทางราชการหรือส่วนพระองค์ เครื่องยศนี้จะเป็นสิ่งสำคัญแสดงตำแหน่งที่ลำดับยศศักดิ์ของบุคคลเหล่านั้นได้แก่ แหวน สังวาล ลูกประคำทอง พานหมากทองคำ กาน้ำ ทองคำ โต๊ะทองคำ ดาบฝักทอง ฉัตรเครื่องสูง ยานพาหนะ เครื่องนุ่งห่ม หมวก เป็นต้น ผู้ได้รับพระราชทานจะแต่งและนำเครื่องยศเข้าไปใช้ในงานสำคัญ ๆ ต่อหน้าพระที่นั่งได้ เช่น งานออกมหาสมาคม หรือที่โบราณเรียกว่าเสด็จออกใหญ่ ทั้งนี้ เครื่องแสดงเกียรติยศและบำเหน็จความชอบทั้งหลายดังกล่าวใช้สำหรับประดับกับตัวหรือนำพาไปเคียงข้างตัว ไม่ใช้ประดับกับเสื้ออย่างเครื่องหมายแสดงเกียรติยศและบำเหน็จความชอบที่เรียกว่า "เครื่องราชอิสริยาภรณ์" ตามแบบอย่างของประเทศตะวันตก หรือในรูปแบบและวิธีการประดับดังที่ปรากฏในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี กล่าวได้ว่าในบรรดาเครื่องยศเหล่านี้ซึ่งอย่างน้อยมีอยู่ 2 สิ่ง ได้แก่ สายพระสังวาล และแหวนทองคำเป็นต้นเค้าหรือหลักเกณฑ์ที่มาแห่งพัฒนาการของเครื่องราชอิสริยาภรณ์และการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของพระมหากษัตริย์
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีได้มีเครื่องราชูปโภคราชาภรณ์สำหรับพระพิชัยสงครามอย่างหนึ่ง เรียกว่า พระสังวาลพระนพเป็นสายพระสังวาล ใช้สวมเฉียงพระอังสาซ้ายหรือขวา มีลักษณะเป็นสร้อยอ่อนทำด้วยทาองคำล้วนเรียงกัน 3 สาย สายหนึ่งยาวประมาณ 124 เซนติเมตร มีดอกประจำยามทำด้วยทองคำประดับนพรัตนหนึ่งดอก เมื่อมีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสด็จขึ้นประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ์ พราหมณ์จะทูลเกล้าฯ ถวายพระสังวาลนี้สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงสวมพระองค์ก่อน ที่จะทรงรับเครื่องราชอิสริยยศอื่น ๆ เป็นราชประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมหาสังวาลนพรัตน์ราชวราภรณ์ขึ้นอีกสายหนึ่ง เพื่อใช้ในการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระองค์
กล่าวโดยสรุป ต้นกำเนิดของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยเท่าที่มีหลักฐานปรากฏอาจนับเนื่องได้ว่ามีเค้าที่มาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือพระสังวาลพระนพ พระมหาสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ และแวนทองคำประดับพลอย 9 ชนิด นับเป็นเครื่องหมายที่ใช้สำหรับประดับเกียรติยศแต่ครั้งโบราณโดยใช้ประดับกับตัวทั้งสิ้น


เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยสมัยหลัง พ.ศ. 2400 ถึง พ.ศ. 2484


รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2394 - พ.ศ. 2411)
ทรงมีพระราชดำริสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในรูปลักษณะและวิธีการประดับแบบของยุโรปเมื่อประมาณ พ.ศ. 2400 โดยลำดับประวัติความเป็นมาดังนี้
พ.ศ. 2400 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ดาราไอราพตเครื่องต้น และดาราตราตำแหน่ง ใช้สำหรับประดับที่อกเสื้อทำด้วยทองคำจำหลักลงยาราชาวดี ประดับเพชรพลอย โดยทรงพระราชดำรินำดวงตราตำแหน่งมาทำลายดารา ในเวลานั้นจึงมักเรียกกันว่า "ตรา" บ้าง หรือเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า "เดคอเรแชน" (Decoration)
สรุปความสำคัญได้ว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2400 ได้ทรงเพิ่มเครื่องประดับสำหรับยศ มาเป็นดาราตราตำแหน่งสำหรับประดับกับเสื้อ นับเป็นการพัฒนาในรูปแบบของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทำให้สามารถแบ่งยุคสมัยของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยได้โดยชัดแจ้ง
พ.ศ. 2401 - พ.ศ. 2402 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างดารานพรัตนสำหรับเป็นเครื่องต้น 1 ดวง และพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์อีก 3 ดวง
พ.ศ. 2404 ทรงสร้างดราราช้างเผือกสำหรับพระราชทานผู้มียศต่าง ๆ ซึ่งเป็นคนไทยและชาวต่างประเทศที่มีความชอบ และดาราพระมหามงกุฎฝ่ายในสำหรับพระราชทานเจ้าจอมซึ่งแต่งตัวเป็นมหาดเล็กตามเสด็จฯ
พ.ศ. 2407 หลังจากที่พระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ได้ทรงส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชื่อ ลีจอง ดอนเนอร์ (Legion d' Honneur) ชั้นแกรนครอส (Grand Cross) ประกอบด้วยสายสะพาย ดวงตรา และดารา มาถวายเป็นการเจริญพระราชไมตรี เมื่อจุลศักราช 1225 (พ.ศ. 2406) แล้ว จึงทรงสร้างดารานพรัตนมีลักษณะคล้ายกับดารานพรัตนเครื่องต้น มีขนาดใหญ่กว่า สำหรับถวายพระเจ้า นโปเลียนที่ 3 เป็นการตอบแทน เมื่อจุลศักราช 1266 (พ.ศ. 2407)
อนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับเครื่องผลิตเหรียญแบบฝรั่งเศสขนาดเล็ก ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียทรงส่งมาถวาย และได้ทรงสั่งซื้อเครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์เพื่อผลิตเหรียญแทนเงินพดด้วง ที่ใช้อยู่ขณะนั้น เมื่อมีพระราชพิธีเฉลิมพระชนมายุครบ 60 พรรษาบริบูรณ์ใน พ.ศ. 2407 ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญที่ระลึกขึ้นในพระราช วโรกาสดังกล่าว เรียกว่า "เหรียญเฉลิมพระชันษาครบ 60 ปีบริบูรณ์" ราษฎรทั่วไปมักเรียกกันด้วยภาษาจีนว่า "เหรียญแต้เม้ง" เป็นเหรียญตราพระมหามงกุฎมี 2 ชนิด ทำด้วยทองคำและทำด้วยเงิน พระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทำเป็นเครื่องประดับติดเสื้อได้ตามอัธยาศัย ซึ่งบ้างก็ทำแพรแถบห้อยเหรียญติดเสื้อแบบฝรั่ง บ้างก็ทำสายไหมห้อยเหรียญแขวนคอแบบจีน และโปรดเกล้าฯ ให้ประดับได้อย่างเหรียญตรา
เหรียญเฉลิมพระชันษาครบ 60 พรรษาบริบูรณ์
ด้านหน้า เป็นรูปพระมหามงกุฎยอดเปล่งรัศมี มีฉัตรพระหนาบสองข้าง พื้นเป็นลายกิ่งไม้
มีดาวบอกราคาอยู่ริมขอบ 32 ดวง โดยดาวดวงหนึ่งแทนราคา 1 เฟื้อง รอบวง
ขอบมีลายเกสรดอกไม้สองชั้น
ด้านหลัง เป็นลายแก้วชิงดวง มีคำว่า "กรุงสยาม" อยู่กลาง นอกลายมีอักษรจีนสี่ทิศ อ่าน
สำเนียงจีนแต้จิ


loading picture   loading picture
รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411 – พ.ศ. 2453)
          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ปรับปรุง และเพิ่มเติมดารา ตราตำแหน่ง และเครื่องประดับสำหรับยศ ซึ่งให้เรียกว่า “เครื่องราชอิสริยยศ” และในที่สุดเปลี่ยนเรียกว่า “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” มาจนปัจจุบันนี้
พ.ศ. 2411 หลังจากเสร็จงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างดาราตราตำแหน่งขึ้นสำหรับพระราชทานปูนบำเหน็จความดีความชอบแก่ข้าราชการตามราชประเพณีเปลี่ยนรัชกาลใหม่มีจำนวน 4 ดวง ล้วนประดับเพชรพลอยอย่างมีค่ายิ่ง และเปลี่ยนรูปแฉกดาราจากที่เป็นรัศมีมาเป็นกลีบบัว ซึ่งได้ใช้เป็นแบบกันต่อมาจนปัจจุบัน
พ.ศ. 2412 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นเป็นครั้งแรก คือ สายสะพายสำหรับเครื่องราชอิสริยยศสำหรับราชตระกูล นพรัตนราชวราภรณ์ และได้โปรดเกล้าฯ ให้ตรา “ระเบียบเครื่องราชอิสริยยศสยาม” ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยแบ่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ออกเป็น 4 ประเภทคือ
1. เครื่องราชอิสริยยศสำหรับราชตระกูล ได้แก่ นพรัตนราชวราภรณ์
2. เครื่องราชอิสริยยศสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน มี 6 ชนิด ได้แก่ มหาวราภรณ์ มหาสุราภรณ์ จุลวราภรณ์ จุลสุราภรณ์ นิภาภรณ์ และภูษนาภรณ์
3. เครื่องราชอิสริยยศสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในพระองค์และทำการช่างฝีมือดี มี 3 ชนิด ได้แก่รจนาภรณ์ ภัทราภรณ์ และเหรียญบุษปมาลา
4. เครื่องราชอิสริยยศสำหรับพระราชทานฝ่ายทหาร ได้แก่ เหรียญจักรมาลา
พ.ศ. 2416 ทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยายศจุลจอมเกล้าสำหรับตระกูล เนื่องในวโรกาสที่ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ 2 โดยทรงบรรลุนิติภาวะและไม่ต้องมีผู้สำเร็จราชการ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศตราความชอบ ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติเกี่ยวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนพรัตนราชวราภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎสยาม เหรียญจักรมาลา เหรียญรัตนาภรณ์ และเหรียญบุษปมาลารวมกัน
ตาม “ประกาศตราความชอบ” ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญดังกล่าว จะได้รับประกาศนียบัตรซึ่งเวลานั้นเรียกว่า “หนังสือสำคัญสำหรับดวงตรา” “คำประกาศสำหรับดวงตา” ประทับพระราชลัญจกรเป็นสำคัญด้วย การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกและมงกุฎสยาม จะพระราชทานเป็นกรรมสิทธิ์ไม่ต้องส่งคืน อีกทั้งโปรดเกล้าฯ ให้จัดลำดับเกียรติของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกและมงกุฎสยาม ชั้นที่ 1 ถึง ชั้นที่ 5 สลับกันไป และให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งสองตระกูลนี้ด้วยกันได้
หลังจากที่ได้ทรงแก้ไขระเบียบเกี่ยวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และทรงตราพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2516 นี้แล้ว นับตั้งแต่นั้นมา เมื่อทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นใหม่ หรือมีการแก้ไขอย่างใด ก็จะมีพระราชบัญญัติหรือประกาศกระแสพระบรมราชโองการเป็นประเพณีสืบมา
นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ เหรียญรจนาภรณ์ ที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2412 สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในพระองค์ ให้ชื่อว่า เหรียญรัตนาภรณ์
พ.ศ. 2424 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญสตพรรษมาลา
พ.ศ. 2425 ทรงสถาปนาเครื่องขัตติยราชอิสริยยศอันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์และเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา
พ.ศ. 2427 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญปราบฮ่อ
พ.ศ. 2429 โปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยยศสำหรับตระกูลจุลจอมเกล้า
พ.ศ. 2432 โปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก้ไขเพิ่มเติม รัตน- โกสินทรศก 108 (พ.ศ. 2432)” เปลี่ยนการเรียกตราต่าง ๆ ซึ่งเวลานั้นเรียกว่า “เครื่องราชอิสริยยศ” เป็น “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” และให้เรียก “หนังสือสำคัญสำหรับดวงตรา” หรือ “คำประกาศสำหรับดวงตรา” ว่า “ประกาศนียบัตร”
โปรดเกล้าฯ ให้บัญญัตินามเจ้าพนักงานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งเดิมใช้เรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษ
โปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงดวงตราของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกบางชั้น
โปรดเกล้าฯ ให้กำหนดให้มีการส่งคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกและมงกุฎสยาม เมื่อผู้ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นสูงขึ้นหรือวายชนม์ ซึ่งเดิมพระราชทานเป็นกรรมสิทธิ์
พ.ศ. 2434 โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับตระกูลจุลจอมเกล้าเพิ่มเติม
พ.ศ. 2436 ทรงพระราชดำริเห็นว่าพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่าง ๆ อันได้แก่ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎสยาม เหรียญจักรมาลา เหรียญบุษปมาลา และเหรียญรัตนาภรณ์ ยังกระจัดกระจายปะปนกันอยู่กับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลอื่น ๆ ดังนั้น เพื่อจะให้เครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่ละตระกูลมีเกียรติคุณพิเศษยิ่งขึ้นในกาลอันเป็นมหามงคลที่เสด็จถลิงถวัลยราชสมบัติมาครบ 25 ปี ใน ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระราชบัญญัติเกี่ยวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่ละตระกูลเหล่านั้น ให้เป็นหมวดหมู่ และแก้ไขให้สมบูรณ์ขึ้น แล้วตราเป็นพระราชบัญญัติเฉพาะแต่ละตระกูล
พ.ศ. 2438 ทรงสถาปนาเหรียญจักรพรรดิมาลา
โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขพระราชบัญญัติเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ว่าด้วยสายสร้อยฯ)
โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
พ.ศ. 2439 โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศแก้ไขบางมาตราในพระราชบัญญัติเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์
พ.ศ. 2440 ทรงสถาปนาเหรียญราชรุจิรัชกาลที่ 5
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญประพาสมาลา
สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทรงสถาปนาเหรียญราชินีขึ้นโดยพระบรมราชานุญาต
พ.ศ. 2442 โปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
พ.ศ. 2443 โปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
พ.ศ. 2444 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 โดยใช้อักษาพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. แทนเหรียญรัตนาภรณ์เดิม (พ.ศ. 2416) ซึ่งเป็นรูปจุลมงกุฎ
พ.ศ. 2445 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎสยาม ขึ้นอีก 2 ชั้น คือเหรียญทองและเหรียญเงิน โดยตรา “พระราชบัญญัติสำหรับเหรียญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกและมงกุฎสยามรัตนโก สินทรศก 121 (พ.ศ. 2445)” ขึ้น
พ.ศ. 2446 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญทวีธาภิเศก
พ.ศ. 2447 ทรงสถาปนาเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 4 ในวโรกาสครบ 100 ปี วันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเหรียญจักรมาลา
พ.ศ. 2450 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญรัชมงคล
พ.ศ. 2451 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญรัชมังคลาภิเศก
พ.ศ. 2452 โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกขึ้นใหม่โดยทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ขึ้นอีก 1 ชั้น คือ ชั้นสูงสุด “มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก” และแก้ไขเปลี่ยนรูปและลายตราช้างเผือกเป็นอย่างปัจจุบัน
โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎสยามขึ้นใหม่ โดยมีการรวบรวมกำหนดชั้นเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญมงกุฎสยาม เป็น 7 ชั้น แก้ไขรูปและลายตรามงกุฎสยามเป็นอย่างปัจจุบัน
ตามพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎสยามที่โปรดเกล้าฯ ให้ตราขึ้นใหม่ดังกล่าว ได้มีการจัดลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎสยาม และเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดพระราชบัญญัติเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์เพิ่มเติม
โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าเพิ่มเติม


รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453 – พ.ศ. 2468)
           ได้ทรงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเพร๊และวัฒนธรรมของบ้านเมืองไทยหลายสิ่งหลายประการ โดยเฉพาะในด้านศิลปะการช่างแขนงต่าง ๆ ก็ได้ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ทำนุบำรุง อนุรักษ์ ฟื้นฟูและเผยแพร่ ตลอดจนทรงให้การอุปถัมภร์สนับสนุนศิลปินอย่างดียิ่งสำหรับเรื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์และการพระราชทานเครื่งอราชอิสริยาภรณ์ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรม ประเพณีประจำสังคมไทยอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าได้โปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบประดิษฐ์ขึ้นอย่างงดงาม ตลอดจนปรับปรุงอัตราจำนวนของแต่ละตระกูหรือแต่ชะชนิดให้เพียงพอแก่การพระราชทาน ซึ่งในรัชสมัยของพระองค์ มีการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชบริพารและข้าราชการ เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทาน เป็นบำเหน็จในพระองค์พระมหากษัตริย์ ขึ้นอีกประเภทหนึ่ง และเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานแก่ผู้กระทำความดีความชอบเป็นพิเศษในราชการทหารอีกตระกูลหนึ่งคือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
พ.ศ. 2453 ทรงสถาปนาเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6
พ.ศ. 2454 ทรงสถาปนาเหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 6
ทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตราวชิรมาลา
ทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตรารัตนวราภรณ์ (ครั้งที่ 1)
ทรงสถาปนาเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 6
โปรดเกล้าฯ ประกาศแก้คำในพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกและแก้ไขพระราชบัญญัติเหรียญจักรพรรดิมาลา
โปรดเกล้าฯ แก้พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก เปลี่ยนสีริ้วสายสะพายชั้นมหาปรมาภรณ์
พ.ศ. 2455 ทรงสถาปนาเหรียญราชนิยม
โปรดเกล้าฯ แก้ไข เพิ่มเติมจำนวนอัตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอลเกล้าทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน
พ.ศ. 2456 โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนอัตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์
พ.ศ. 2457 โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติเพิ่มเติมเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายหน้า
พ.ศ. 2459 โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติเพิ่มเติมเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายใน
พ.ศ. 2460 โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตรารัตนวราภรณ์
(ครั้งที่ 2)
พ.ศ. 2461 ทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
ทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตราวัลลภาภรณ์
ทรงสถาปนาเหรียญงานพระราชสงครามทวีปยุโรป และเหรียญนารายณ์บันฤาชัย
โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตรารัตนวราภรณ์
(ครั้งที่ 3)
โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎสยามเพิ่เติม ทรงสถาปนาชั้นสูงสุดชื่อ มหาวชิรมงกุฎ และเปลี่ยนชื่อชั้นอื่นรองงมาเป็นอย่างใหม่
พ.ศ. 2463 โปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตราวัลลภาภรณ์
พ.ศ. 2465 โปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มเติมพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตรารัตนวราภรณ์ฝ่ายใน
พ.ศ. 2466 โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายหน้า
โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศการประดับสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาปรมาภรณืช้างเผือกกับเครื่องราชอิสริยาภรณืมหาวชิรมงกุฎ โดยให้สะพายบ่าซ้ายเฉียงขวา
พ.ศ. 2468 ทรงสถาปนาเหรียญศารทูลมาลา


รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2468 – พ.ศ. 2477)


พระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเพียง 9 ปี และได้มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงภายในประเทศครั้งสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศครั้งสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณราญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ พระองค์ยังได้เสด็จฯ ไปรักษาพระองค์ในต่างประเทศเป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงไม่ได้มีการทรงสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลใหม่ นอกจากการสร้างเหรียญราชอิสริยาภรณ์ประจำรัชกาล และเหรียญที่ระลึกที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์สำคัญในรัชสมัยของพระองค์
พ.ศ. 2468 ทรงสถาปนาเหรียญบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 7
พ.ศ. 2469 ทรงสถาปนาเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 7
พ.ศ. 2470 ทรงสถาปนาเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 7
พ.ศ. 2475 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญเฉลิมพระนคร 150 ปี
พ.ศ. 2476 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ


เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยสมัยหลัง พ.ศ. 2476 จนถึงปัจจุบัน
          ประวัติความเป็นมาของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยสมัยหลัง พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน อยู่ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (พ.ศ. 2477 - พ.ศ. 2489) และตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พ.ศ. 2489 – ปัจจุบัน) กล่าวได้ว่าเป็นยุคใหม่ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ซึ่งมีการปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาทั้งด้านชื่อ รูปลักษณ์ จำนวนอัตรา วิธีการประดับ หลักเกณฑ์พระราชทาน การเรียกคืนการส่งคืน ตลอดจนการปรับปรุงเพิ่มเติมกฎหมายต่าง ๆ ที่กี่ยวข้องให้เหมาะสมกับยุคสมัยของบ้านเมืองและสอดคล้องกับหลักสากลของประเทศตะวันตกเป็นสำคัญ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันงดงามด้วยศิลปะของไทยที่มีพัฒนาการมาแต่อดีตกาลอันยาวนาน


รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล (พ.ศ. 2477 – พ.ศ. 2489)
          แม้มีการสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญราชอิสริยาภรณ์ไม่มากนัก เนื่องจากเป็นช่วงรัชกาลอันสั้น แต่ก็ได้มีการปรับปรุงเครื่องราชอิสริยาภรณ์และกฎหมายเกี่ยวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยตระกูลที่สำคัญ ๆ ครั้งใหญ่ ซึ่งยังปรากฎและมีผลบังคับใช้ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
พ.ศ. 2480 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ 8 โดยตราพระราชบัญญัติเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 พุทธศักราช 2480
พ.ศ. 2484 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเหรียญกล้าหาญ เหรียญชัยสมรภูมิ เหรียญช่วยราชการเขตภายใน โดยตราพระราชกำหนดและพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดเกี่ยวกับเหรียญเหล่านี้ตามลำดับ
โปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุง แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูล สำคัญ ๆ ได้แก่ เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย และเหรียญราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ ได้แก่ เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา เหรียญจักรมาลา เหรียญจักรพรรดิมาลา และเหรียญราชนิยม


รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พ.ศ. 2489 – ปัจจุบัน)
          รัชกาลที่ 9 แห่งพระรบรมราชจักรีวงศ์ ทรงครองราชย์ยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ใด ได้มีการสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญที่ระลึกในวโรกาสและโอกาสต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก อีกทั้งไดมีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหล่านั้น ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับนานาประเทศอย่างกว้างขวางจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลใหม่ขึ้นไว้สำหรับพระราชทานแก่ประมุขของรัฐต่างประเทศโดยเฉพาะเป็นครั้งแรก ชื่อ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์” สำหรับผู้ที่มิใช่ข้าราชการประจำและบุคคลทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและสังคม ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา “เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์” ขึ้นอีกตระกูลหนึ่ง

ที่มา http://dop.rta.mi.th/Option.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น